ข้าวอินทรีย์เมืองน้ำดำ : ก้าวสู่ระดับสากล เกษตรกรเข้มแข็ง บนมาตรฐานความปลอดภัย
ข่าวดีที่ได้รับจากการประชุมสัมมนาสรุปผลการปฏิบัติงานโครงการพัฒนาประสิทธิภาพและการผลิตข้าว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Niche Market) และ (Mass Market) ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ ที่มีนายสิริรัฐ ชุมอุปการ รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธาน โดยผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนาครั้งนี้ เป็นเครือข่ายผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ปลอดสารพิษ และเกษตรกรรายใหม่ที่สนใจการทำเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษ ในพื้นที่ 18 อำเภอ ของ จ.กาฬสินธุ์ จำนวน 600 คน กับการส่งเสริมเกษตรกรปลูกข้าวอินทรีย์อย่างเป็นระบบ ที่มีองค์กรภาครัฐร่วมมือ และผนึกกำลังในการสร้างระบบส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรม มีผู้ประสานงานหลักอย่างสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์เป็นแม่งานใหญ่ เพราะนอกเหนือการรับรองมาตรฐาน GI ของข้าวเขาวงแล้ว ขณะนี้มีเกษตรกรในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ผ่านการรับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ระดับสากลตามมาตรฐาน IFOAM จากบริษัท ไบโออะกรีเสิร์ช (ไทยแลนด์) จำกัด นับเป็นก้าวย่างสำคัญของเกษตรกร จ.กาฬสินธุ์ ที่จะก้าวสู่ระดับสากล
สำนัก กายาผาด เกษตรและสหกรณ์ (กษ.) จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในการเพิ่มขีดความสามารถในการการผลิตข้าวเพื่อการตลาดในปีงบประมาณ 2557 ที่ผ่านมา ทั้ง จ.กาฬสินธุ์ มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 967 ราย ซึ่งได้มีการยื่นขอการตรวจรับรองมาตรฐาน IFOAM จาก บริษัท ไบโออะกรีเสิร์ช (ไทยแลนด์) จำกัด จำนวน 601 ราย ล่าสุดผ่านการรับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ระดับสากลแล้ว 54 ราย ผ่านมาตรฐานการรับรองในระยะปรับเปลี่ยนจำนวน 204 ราย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผลิตข้าวเขาวงที่ผ่านการรับรองจาก GI อีก 300 กว่าราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการผลิตข้าวในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นที่ยอมรับในทุกระดับ และสำหรับมาตรฐานสากลที่ได้รับล่าสุดขณะทางหน่วยงานใหญ่จากประเทศอิตาลี กำลังเตรียมอบใบรับรองอย่างเป็นทางการสำหรับเกษตรกรที่ผ่านเกณฑ์ เป็นความภาคภูมิใจที่มาพร้อมกับการตื่นตัวและดึงความสนใจในการทำนาข้าวอินทรีย์ในระบบสากล” เกษตรและสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ กล่าว
เกษตรและสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวอีกว่า ข้าวเขาวงกาฬสินธุ์ มีมาตรฐาน GI เป็นที่รับรองถึงคุณภาพของข้าว โดยข้าวเขาวงจะมีพื้นที่ปลูกเฉพาะในเขต อ.เขาวง อ.กุฉินารายณ์ และ อ.นาคู ขณะที่การส่งเสริมนาข้าวที่ปลอดภัยในรูปแบบข้าวอินทรีย์ ทางจังหวัดได้ดำเนินการส่งเสริมครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ แต่จะเลือกคัดสรรกลุ่มเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน มีความพร้อมในการทำนาอินทรีย์จริง ๆ เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพและตรงตามความต้องการของตลาด ที่มีความต้องการข้าวอินทรีย์มากขึ้นเรื่อย ๆ ทางสำนักงานฯ จะเน้นการส่งเสริมกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และเพิ่มศักยภาพในการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาผลิตข้าวอินทรีย์ให้มากขึ้น โดยมุ่งเป้าการเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยที่สำคัญของภูมิภาค
สำหรับมาตรฐาน IFOAM มีเงื่อนไขสำคัญคือการทำการเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้ปัจจัยผลผลิตภายนอก หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ทั้งปุ๋ย สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ โดยต้องประยุกต์ใช้หลักธรรมชาติมาใช้ในการเพิ่มผลผลิต รวมถึงการพัฒนาความต้านทานต่อโรคของพืชและสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้แล้วพื้นที่ที่จะทำเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐานของ IFOAM อย่างสมบูรณ์แบบนั้นในดินและน้ำจะต้องไม่มีสารเคมีตกค้าง เป็นพื้นที่ที่ปลอดการทำเกษตรเคมีไม่น้อยกว่า 3 ปี ที่ดอน โล่งแจ้ง อยู่ห่างจากเขตและโรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่ปลูกพืชที่ใช้สารเคมี ทั้งนี้ระบบของ IFOAM ถูกพัฒนาขึ้นโดยสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements - IFOAM) ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2535 ให้บริการรับรองแก่หน่วยตรวจรับรองอินทรีย์ต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร ซึ่งเป็นการรับรองระบบงานเกษตรอินทรีย์ IFOAM โดย IOAS ซึ่งจะยังทำให้เกษตรกรไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาการทำเกษตรอินทรีย์เพราะเป็นระบบที่ตรวจประเมินแบบปีต่อปี
วินิจ ถิตย์ผาด เจ้าของสวนจารุวรรณ หนึ่งในเกษตรกรที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน IFOAM กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ข้าวอินทรีย์ของสวนจารุวรรณ ได้รับการการันตีข้าวอินทรีย์ของ Organic Thailand รหัสรับรอง TAS : 4535 และสำหรับมาตรฐานสากลอย่าง IFOAM เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่แปลงนาอินทรีย์ของเกษตรกรกาฬสินธุ์ เป็นการก้าวกระโดดของข้าวชาวนา ที่มองถึงกรเพิ่มมูลค่าข้าวให้ถูกที่ถูกทางตามพละกำลังของผู้ปลูก ที่ยึดต้นแบบการทำเกษตรผสมผสาน ทั้ง 1 ไร่ 1 แสน และเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่นำมายึดเป็นต้นแบบการทำเกษตรและการดำเนินชีวิตอย่างทุกวันนี้
สูตรสำเร็จของสวนจารุวรรณ ในการทำนาข้าวอินทรีย์จนได้รับมาตรฐานระดับสากลไม่ซับซ้อนวุ่นวาย เพราะได้ริเริ่มการทำสวนอินทรีย์มานานของพื้นที่สวนทั้งหมด 84 ไร่ ปลูกพืชอินทรีย์หลากหลายทั้งพืชสวนพืชไร่และนาข้าวตั้งแต่ปี 2552 หลังเกษียณอายุราชการในตำแหน่งเกษตรอำเภอ แนวคิดการทำสวนอินทรีย์และนาข้าวมาพร้อม ๆ กันจากการศึกษาและเรียนรู้ด้านการเกษตรมาตลอดทั้งชีวิต มีแนวกันชนเป็นพืชสวนด้วยการปลูกมะม่วงพันธุ์ต่าง ๆ แนวกันชนอีกชั้นเป็นตะไคร้ หญ้าแฝก และกล้วยน้ำหว้าปลูกสลับกันไป ขณะที่นาข้าวจะมีแนวคันดินสูง 3 เมตรและมีพืชเป็นแนวกันชนอีก 3 ชั้น โดยกันพื้นที่ปลูกข้าวในสัดส่วน 10 ไร่ เป็นข้าว 5 สายพันธุ์ สายพันธุ์ละ 2 ไร่
ประกอบด้วยข้าวหอมมะลิ 105 ที่จะเป็นข้าวกล้องหอมมะลิ ข้าวเหนียวดำ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวหอมมะลิดำ และข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่จะปลูกเป็นข้าวนาปรัง มีผลผลิตเป็นข้าวเปลือกเฉลี่ยที่ 520 กก.ต่อไร่ เมื่อสีเป็นข้าวสารจะได้ 75 % ของข้าวเปลือกเว้นแต่ข้าวไรซ์เบอร์รี่เมื่อสีเป็นข้าวสารแล้วได้ผลผลิตที่ 55 % ต่อไร่ ได้ผลกำไรจากการขายข้าวอินทรีย์กก.ละ 80 บาท เฉลี่ย 56,000 บาทต่อไร่ ขณะที่ต้นทุนการปลูกข้าวอยู่ที่ 2,600 บาทต่อไร่ ความสำเร็จของการขายข้าวให้เป็นราคาอยู่กับการทำข้าวที่มีมาตรฐาน และการแพ็คกิ้งข้าวให้เป็นที่ดึงดูของตลาด อย่างสวนจารุวรรณจะมีข้าว 5 พลัง ข้าว 3 ดี และข้าวสี่พระยา ซึ่งเป็นการนำเอาข้าวคุณภาพแต่ละชนิดมาแพ็คกิ้งขายในถุงเดียวกันที่จะง่ายต่อการนำไปบริโภค แต่ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เป็นวิธีของการ “กินข้าวเป็นยา ทดแทนการทานยาเป็นข้าว
วินิจ ถิตย์ผาด อธิบายขั้นตอนการปลูกข้าวให้ฟังว่า นอกเหนือจากการไถกลบตอซังข้าวแล้ว สูตรเด็ดที่ฉีดพ่นในนาข้าว เป็นน้ำหมักที่ใช้ใบสาบเสือ ออกฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หน่อกล้วยน้ำหว้า เป็นตัวเร่งการเจริญเติบโต และตะไคร้หอม พืชไล่แมลงต่าง ๆ น้ำหมักสูตรนี้จะฉีดพ่นในแปลงนาข้าวในระหว่างการไถกลบตอซังข้าวระยะเวลา 15 วัน – 1 เดือน จากนั้นจะหว่านปอเทืองรอบแรกใช้อัตราส่วน 55 ก.ก.ต่อ 1 ไร่ ระยะเวลา 45 วัน ไถกลบรอบแรก ส่วนนี้จะทำให้ดินมีไฮโดรเจนเพิ่มขึ้น 100 ก.ก.ต่อไร่ และหว่านปอเทือกอีกครั้งใช้ระยะเวลา 45 วันไถกลบ ส่วนนี้จะทำให้ไฮโดรเจนเพิ่มขึ้นอีกเป็น 200 ก.ก.ต่อไร่ เมื่อดินพร้อมแล้วจึงหว่านกล้า และปักดำนาโดยใช้แรงคน เป็นการทำนาแบบประณีต ส่วนการดูแลต้นข้าวจะไม่มีใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม แต่จะควบคุมระบบน้ำ “ข้าวไม่ใช่พืชน้ำ แต่เป็นพืชทนน้ำ”
“เมื่อมีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หนอนกอลงนาข้าวไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงอื่น ๆ เพียงแค่ปล่อยระบายน้ำให้นาแห้งแค่นี้โรคในนาข้าวก็หายไป และเมื่อข้าวเจริญเติบโตและกำลังตั้งท้องก็จะปล่อยน้ำเข้านาข้าวระดับ 5 – 10 ซม. เพื่อบำรุงให้รวงข้าวมีความอุดมสมบูรณ์ นับเวลาเมื่อข้าวออกรวงไปอีก 25 วันเป็นช่วงข้าวพลับพลึงเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต และเตรียมออกจำหน่ายตามท้องตลาด โดยข้าวจากสวนจารุวรรณขายได้มากถึงปีละ 32 ตัน และขายหมดทุกปี นอกจากนี้ยังมีเครือข่าย กลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านหนองแวง เครือข่ายข้าวอินทรีย์กาฬสินธุ์ และกลุ่มข้าวอินทรีย์คำม่วง ร่วมเป็นแหล่งผลิตที่ทำให้ข้าวมีคุณภาพมีมาตรฐานเดียวกัน
สำหรับการส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์ ของ จ.กาฬสินธุ์ นับเป็นตัวอย่างของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชน ที่มีเครือข่ายเป็นเกษตรกรที่เข้มแข็ง มีความรู้ความเข้าใจในหลักการของการทำเกษตรอินทรีย์ ที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ และสำหรับเกษตรกรที่สนใจข้อมูล ขั้นตอนการทำเกษตรอินทรีย์ มาตรฐานสากลสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ หรือที่สวนจารุวรรณ ซึ่งเปิดเป็นคลินิกเกษตรอินทรีย์เปิดให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรทั่วไป โทร.084-3216553
ข้อมูลจาก
ryt9.com/s/nnd/2184759